ทำดี 100 วัน เปิดชีวิต ‘เหยื่อระเบิด ‘ ผู้ยืนหยัดด้วยขาเดียว สะอื้น! เห็นลูก/สามีรับภาระหนัก

‘ทำดี 100 วัน เพื่อแม่ของแผ่นดิน’ ที่เดินหน้าถึงวันที่ 20 พร้อมเปิดอีกมุมของเหยื่อความรุนแรง ‘นางวิภาวรรณ ปลอดแก่นทอง’ ผู้สูญเสียขา-ตาบอดจากเหตุการณ์ปี 61 แม้จะสู้จนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ แต่ปัญหาปากท้องที่ต้องพึ่งพารายได้หลักวันละ 300 บาท คือ ‘ความท้อแท้ที่แอบร้องไห้ทุกวัน’ วอนภาครัฐ/ภาคีเครือข่าย สนับสนุนอุปกรณ์ซ่อมรถ เพื่อสร้างอาชีพเสริมให้ครอบครัว
โครงการ “ทำดี 100 วัน เพื่อแม่ของแผ่นดิน” ซึ่งริเริ่มโดย สมาคมสื่อมวลชนเพื่อพัฒนาชายแดนภาคใต้ (JSD-South) ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และเข้าสู่วันที่ 19 แล้ว (จากวันที่ 26 ต.ค. 2568 ถึง 2 ก.พ. 2569) โครงการนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรสื่อในพื้นที่ ที่ต้องการใช้พลังของสื่อมวลชนในการขับเคลื่อนงานด้านสังคมและมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
กิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันที่ 20 ยังคงได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายที่สำคัญหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ ศูนย์พัฒนาอาชีพกลุ่มร่วมด้วยช่วยกันชายแดนใต้ และผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นายปกรณ์ พึ่งเนตร บรรณาธิการบริหารเนชั่นทีวี/เนชั่นออนไลน์ และบรรณาธิการศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา, NBT จังหวัดยะลา รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานรัฐอย่าง นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร เลขาธิการ ศอ.บต. และ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9
นอกเหนือจากภารกิจสร้างสรรค์สังคมในโครงการ 100 วัน ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ติดตามชีวิตของ นางวิภาวรรณ ปลอดแก่นทอง เหยื่อความรุนแรงในพื้นที่ ซึ่งเป็นตัวอย่างของกลุ่มเปราะบางที่ต้องต่อสู้หลังได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด
ย้อนกลับไปในเช้ามืดของวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 เวลาประมาณ 05.45 น. ได้เกิดเหตุระเบิดรุนแรงขึ้นในสวนยางพารา พื้นที่บ้านแค หมู่ 1 ต.ตาชี อ.ยะหา จ.ยะลา ส่งผลให้นางวิภาวรรณ ปลอดแก่นทอง อายุ 41 ปี (ขณะนั้น) ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนต้อง ตัดขาซ้ายตั้งแต่ใต้หัวเข่า, สูญเสียการมองเห็น (ตาบอด) และมือข้างซ้ายไม่สามารถใช้งานได้อย่างปกติ
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ติดตามชีวิตของนางวิภาวรรณฯ ในปัจจุบัน พบว่า เธอได้ย้ายมาพักอาศัยที่บ้านเลขที่ 13 หมู่ 4 ต.ตาชี โดยใช้ เงินเยียวยาที่ได้รับจาก ศอ.บต. ในการซื้อที่ดินและปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัย
นางวิภาวรรณฯ เล่าว่า เธอพยายามปรับตัวจนสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เกือบทั้งหมด ทั้งการขับรถจักรยานยนต์ไปตลาด, ส่งลูกไปโรงเรียน, และทำงานบ้านด้วยตัวเอง
“แรก ๆ ก็ลำบากมาก ทำไม่ได้ แต่สู้จนตอนนี้ชินกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับ ถามว่าลืมไหมกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยากบอกว่า ไม่เคยลืมเลย มันจำได้ตลอด” นางวิภาวรรณฯ กล่าว
แม้สภาพร่างกายจะปรับตัวได้ แต่สิ่งที่ทำให้นางวิภาวรรณฯ รู้สึกท้อแท้จนต้องแอบร้องไห้ทุกวัน คือ ปัญหาเรื่องรายได้
เธอเผยว่า สภาพขาที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้เธอไม่สามารถกลับไปกรีดยางในสวนซึ่งมีพื้นที่ไม่ราบเรียบได้อีก ทุกวันนี้รายได้หลักจึงต้องพึ่งพา สามีและลูกชาย ที่ทำงานกรีดยางสองคน รวมกันแล้วมีรายได้เพียง วันละ 300 บาท เพื่อเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวรวม 7 ชีวิต

“วันที่ฝนตกก็ไม่ได้เงินเลย… ตอนนี้ขาไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าไปรับจ้างกรีดยางอีกก็อาจมีปัญหา… ทำอะไรมากก็ไม่ได้ แอบร้องไห้ตลอด ท้อ… รายได้ไม่พอกับรายจ่าย”
ความหวังเดียวของนางวิภาวรรณฯ คือการได้รับ อุปกรณ์ซ่อมรถจักรยานยนต์ เพื่อให้สามีและลูกชายสามารถเปิดร้านซ่อมเล็ก ๆ เป็นอาชีพเสริมหลังเลิกกรีดยางได้ ซึ่งจะช่วยให้เธอสามารถช่วยดูแลงานในร้านได้ด้วย
เธอเล่าว่า “สมัยแรก ทางหน่วยงานภาครัฐได้เคยเอามาให้แล้วครั้งหนึ่ง แต่สามีคนก่อนตอนที่แยกทางกัน เขาขนไปหมด รวมถึงลูกที่พิการ สามีเก่าก็เอาไปด้วย” ปัจจุบัน นางวิภาวรรณฯ หวังว่าจะมีผู้สนับสนุนอุปกรณ์ชุดนี้เพื่อพลิกฟื้นให้ครอบครัวกลับมายืนหยัดได้อย่างเข้มแข็งอีกครั้ง ท่ามกลางภารกิจ “ทำดี 100 วัน” ที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ทั้งนี้ นางวิภาวรรณฯ ยังได้กล่าวขอบคุณสมาคมสื่อมวลชนฯ และผู้ใหญ่ใจดี ที่ได้จัดกิจกรรมดี ๆ เช่น โครงการทำดี 100 วัน และชื่นชมความตั้งใจของภาคีเครือข่าย โดยระบุว่า “ในฐานะชาวบ้านที่ไม่ได้มีอะไรมาก ขอเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมทำความดีเพื่อแม่หลวงของแผ่นดินในโอกาสนี้ด้วย”